Tender Waves (2013) เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ กระชุ่มกระชวยหัวใจ สุดครื้นเครง ตามแนวถนัดของผู้กำกับ Jirí Vejdelek อยู่แล้ว แต่ก็เป็นความครื้นเครงบนความตึงเครียด เพราะหนังใช้ฉากหลังเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ การเมืองอันร้อนระอุในปี 1989 ช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยใน เชคโกสโลวาเกีย ที่เรียกว่า การปฏิวัติกำมะหยี่(The Velvet Revolution)
หนังพาเราไปพบกับชีวิตของVojta เด็กดีขี้อาย กับครอบครัวเพี้ยนๆของเขา อันประกอบไปด้วย คุณพ่อขี้โมโหที่ครั้งหนึ่งเคยทำผิดพลาดในการแข่งขันว่ายน้ำที่ช่องแคปอังกฤษ และคุณแม่คนสวยอดีตดาราสเก็ตน้ำแข็ง ทั้งที่มีครอบครัวแล้วแต่ก็ยังพราวสเน่ห์ ให้หนุ่มใหญ่หมายมาตีท้ายครัว อันได้แก่ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ขี้โอ่ กับนักดนตรีรูปหล่อ
Tender Waves ไม่ได้เน้นประเด็นทางการเมืองมากนัก แต่เน้นประเด็นการเลี้ยงดูบุตรหลานของสถาบันครอบครัวมากกว่าในชั่วโมงพละทุกครั้ง Vojta ต้องไปนั่งเฉยๆข้างสนามดูเพื่อนๆเล่นบอล เด็กผู้หญิงนักเรียนใหม่จึงแปลกใจหันไปถามเพื่อนหญิงคนนึงว่า"นายคนนั้นเขาป่วยเป็นอะไรเหรอ?" เพื่อนเธอตอบกลับมาว่า "เปล่า เขาไม่ได้ป่วยเป็นอะไร แม่ของเขาต่างหากที่ป่วย" อืม เป็นคำตอบที่น่าคิดนะ มันคือมุกตลกจิกกัดการเลี้ยงดูเด็ก เพราะแม่ของVojta ขอครูไว้ ไม่อยากให้ลูกมือเจ็บกลัวจะเล่นเปียโนไม่ได้ Vojta เป็นเหมือนตัวแทนความหวังของทั้งพ่อและแม่ ทั้งพ่อและแม่ต่างก็มีความต้องการให้ Vojta
เติมเต็มปรารถนาลึกๆในใจของพวกเขา พูดง่ายๆก็คือสนองNeedตัวเองนั่นเอง แม่อยากให้เขาเอาดีทางด้านศิลปะและดนตรี เพราะค้นพบพรสวรรค์ของเขาตั้งแต่เด็กๆ จึงพยายามฝึกฝนเขามา แม้ว่าวันสอบเข้าโรงเรียนดนตรีVojta จะเล่นเปียโนผิดพลาด เนื่องจากมือเคล็ด (แต่ไม่ใช่เพราะเล่นกีฬาอะไร แต่เป็นเพราะคืนก่อนสอบเขาใช้มือสำเร็จความไคล่ตัวเองมากไป)
ส่วนคุณพ่อยิ่งพิลึกหนัก เขาต้องการให้ลูกเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ โดยฝึกลูกตั้งแต่ยังเด็กเล็กมาก ทำให้ให้เขาจมน้ำ และโตมากลายเป็นคนที่กลัวการว่ายน้ำ และนี่เองที่เป็นอุปสรรคสำคัญของเขา เพราะเขาดันไปแอบหลงรักสาวนักกีฬาระบำใต้น้ำ
Tender Waves เป็นหนังที่ดูสนุก ตลก สุดหรรษา และดนตรีประกอบที่อิ่มเอมใจ นอกจากนั้นยังได้ Vojtěch Dyk แห่งวง Nightwork มาทำเพลงประกอบให้อีกด้วย นอกจากจะแสดงเป็นครูดนตรีตัวปัญหาในเรื่อง
Tender Waves : กระแสละมุน
Published On
03:06
By
คขข
Sweet Mud : เกิดแต่ตม
Published On
09:58
By
คขข
ในปี 2006 ถือเป็นปีที่แปลกประหลาด ของการแจกรางวัลทางภาพยนตร์ของอิสราเอล(Awards of the Israeli Film Academy 2006) (หรือออสการ์ของอิสราเอล) เพราะหนังที่ได้ Best Picture ของปีนั้นมี2เรื่อง (เป็นการรับร่วมกัน) และ1ใน2เรื่องที่ว่าก็คือ Sweet Mud หนังเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้นี่เอง (อีกเรื่องคือ Aviva, My Love (2006)) นอกจากนั้น Sweet Mud ยังได้เป็นตัวแทนประเทศไปชิงออสการ์ แม้จะไม่ผ่านเข้ารอบแต่หนังก็ได้รางวัลใหญ่ระดับสากลจาก 2 สถาบันในปี 2007 นั่นคือ สามารถคว้า Grand Jury Prize: World Cinema Dramatic จาก Sundance Film Festival 2007 มาครอง และ คว้า Crystal Bear จากเทศกาลหนังเบอร์ลิน (Berlin International Film Festival 2007)อีกด้วย
Sweet Mud เป็นหนังดีที่แสดงให้เห็นถึงความคิดอันหลายหลายของมนุษย์ และการแยกถูกผิดชั่วดีอาจไม่ใช่เรื่องที่จะมาตัดสินกันได้ง่ายๆ อีกทั้งขนบธรรมเนียมที่ถูกยึดถือกันมานั้นถูกสั่นคลอนด้วยคนตัวเล็กๆคนหนึ่ง
Sweet Mud ภาพยนตร์อิสราเอลกำกับโดย Dror Shaul เป็นภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติของตัวเขาเอง มันถ่ายทอดเรื่องราวความทรงจำในวัยเยาว์ของเขาที่เติบโตมาใน คิบบุตซ์ (kibbutz) กับความผูกพันธ์ที่มีต่อแม่ผู้ซึ่งมีภาวะทางจิตใจไม่ปกติ หนังถ่ายทำใน kibbutz ของ Ruhama และ Nir Eliyahu
คิบบุตซ์ (kibbutz) คืออะไร
เมื่อประมาณ 100 ปีก่อน ชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก พากันอพยพกลับมาตั้งถิ่นฐานยังดินแดนที่เป็นประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน ในครั้งนั้นชาวยิวส่วนหนึ่งได้รวมตัวกันเป็นชุมชนเกษตรกรรมตามชนบท หรือที่เรียกว่า ‘คิบบุตซ์’ (Kibbutz) ปัจจุบันทั่วประเทศอิสราเอลมีคิบบุตซ์อยู่มากกว่า 250 แห่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากคิบบุตซ์จะเป็นนิคมเกษตรกรรม ยังเป็นเหมือนนิคมปกครองตนเองด้วย คล้ายๆระบบสังคมนิยม มีส่วนกลางในการบริหาร ตลอดจนการจำแนกแจกจ่าย และวางระเบียบการบริโภคผลผลิต แต่ก็มีการโหวตออกเสียงเมื่อมีความเห็นต่างแบบประชาธิปไตย ในภาพยนตร์เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นว่า สมาชิกทุกคนในนิคมจะต้องทำงาน โดยพวกเขาจะแบ่งหน้าที่กันในส่วนต่างๆ
นอกจากนั้นในคิบบุตซ์ ยังมีส่วนของสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียน ดูแลเยาวชนของพวกเขาเอง ตั้งแต่ทารกไปจนถึงวัยเรียน เหมือนโรงเรียนประจำ คิบบุตซ์ เป็นสิ่งที่ชาวอิสราเอลภาคภูมิใจมาก เพราะมันนำความเจริญมาสู่ประเทศนับจากอดีต ทำให้ชาวโลกรู้ว่า พวกเขาเป็นสุดยอดเกษตรกร พวกเขาสามารถปลูกพืช ทำไร่ในทะเลทรายได้ ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบพอเพียง แม้คิบบุตซ์จะเป็นสถานที่อันภาคภูมิใจของผู้คนด้วยทัศนคติที่เปิดกว้าง แต่สำหรับ Shaul มันคือคุกดีๆนี่เอง และก้ำกึ่งกับการละเมิดสิทธิ,ทารุณกรรม อีกทั้งความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น Shaul กล้านำเสนอมุมมองในอีกด้านมืด ผ่านสายตาช่วงวัยเยาว์ของเขา Sweet Mud แสดงให้เห็นถึงอคติดั่งหัวโขนที่สวมใส่ และพฤติกรรมที่ดูง่อยเปลี้ยของระบบ พวกเขาแบ่งปันผลผลิตอย่างเช่นคุณย่าของShaul ทำแยมแต่เธอก็จะแบ่งให้เฉพาะคนที่เธอพอใจเท่านั้น, ครูผู้ช่วยสาวคนหนึ่งคุยกับหัวหน้าต้องการเลื่อนขั้นเป็นครู หัวหน้าบอกเธอว่าครูต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่มากนะ "แน่นอน..คุณก็รู้ว่าฉันมีความรับผิดชอบในหน้าที่มาก" เธอตอบกลับ เขาจึงบอกเธอว่า งั้นตอนนี้ขอเอาเธอหน่อย เธอตอบว่าโทษทีฉันลืมเอาถุงยางมา หัวหน้าจึงตำหนิเธอว่า ไหนบอกมีความรับผิดชอบในหน้าที่ไง..แค่นี้ยังลืม?? หนังเสียดสีตั้งแต่เรื่องเล็กๆไปยังเรื่องเลวร้ายสุดๆ นี่ยังไม่รวมถึงเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่แอบมีเซ็กส์วิตถารกับสัตว์ในฟาร์มที่เขาเลี้ยง น่าทึ่งที่ Shaul กล้าตีแผ่ความเลวร้ายใน คิบบุตซ์ แต่ที่น่าที่งยิ่งกว่าคือ ความใจกว้างของคนอิสราเอลกล้ายอมรับหนังเรื่องนี้ และยกย่องมันเป็นหนังยอดเยี่ยม แถมยังเป็นตัวแทนประเทศไปชิงออสการ์อีกด้วย
Sweet Mud เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1974 กล่าวถึง Dvir (Tomer Steinhof) หนุ่มน้อยผู้กำลังจะอายุครบ13ปี เตรียมเข้าพิธีบาร์ มิตซวาห์ (bar mitzvah คือ พิธีฉลองทางศาสนาของชาวยิวให้กับเด็กอายุ 13 ปี กล่าวคือ เด็กชายยิว เมื่ออายุ 13 ปี จะต้องเข้าพิธีเพื่อแสดงว่าพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่หลังจากที่ผ่านพ้นอายุ 13 ปีไปแล้ว) Dvir อาศัยอยู่กับพี่ชาย Eyal (Pini Tavger) และแม่ของพวกเขา Miri (Ronit Yudkevitz) ในคิบบุตซ์ Miri จะถูกส่งเข้าโรงพยาบาลบำบัดทางจิตบ่อยครั้ง Dvirและพี่ชายยังคงดูแลแม่ของพวกตนในขณะที่ความลับการจากไปของผู้เป็นบิดากำลังจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า พร้อมๆกับการมาเยือนของชายชาวสวิสคนรักใหม่ของแม่ ผู้มีส่วนทำให้เรื่องราวในชีวิตของ Dvir พลิกผัน ในขณะที่รักแรกของวัยรุ่นกำลังเบ่งบาน เมื่อเขาพบกับ Maya (Daniel Kitsis) เด็กสาวมาใหม่จากฝรั่งเศส Sweet Mud เป็นหนัง Coming of age ที่เนื้อหาเข้มข้น และประทับใจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
0 ความคิดเห็น: