Navigation Menu

บางสิ่งบางอย่าง...ที่หายไป

Something in the Air : บางสิ่งบางอย่าง...ที่หายไป

        Something in the Air (2012) คือภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวการเมืองกับศิลปะ ถ้าเพื่อนๆลองเอารูปภาพ รูปถ่าย หรือภาพโปสเตอร์อะไรก็ได้ ไปวางทิ้งตากแดดเอาไว้ ผลที่ตามมาเมื่อเวลาผ่านไปคือ ภาพนั้นจะถูกแดดเลียสีซีดลงเรื่อยๆราวกับมีบางสิ่งบางอย่างหายไปในอากาศ โทนสีในภาพที่จะจางหายไปก่อนคือสีเหลืองกับสีแดง เหลือไว้เพียงสีฟ้าที่จะหายไปช้ามาก ภาพยนตร์เรื่อง Something in the Air นี้ถ่ายทำเป็นโทนสีฟ้าหรือสีเทอร์ควอยซ์ตลอดทั้งเรื่อง ประดุจภาพที่ถูกแดดเลียสี
        Something in the Air หรือ Après mai (แปลตามชื่อฝรั่งเศสคือ After May) กล่าวถึงเหตุการณ์จริงหลังพฤษภาคม 1968 หลังการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามการลุกฮือของนักศึกษาและความวุ่นวายทางการเมืองของฝรั่งเศส โดยมีศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ กิลล์นักศึกษาด้านศิลปะกับคริสทีนแฟนสาวของเขา
       สำหรับอุดมการณ์ทางการเมืองในแต่ละเหตุการณ์ความขัดแย้งนั้น ความคิดมักถูกแบ่งออกเป็น 2ขั้วบนจุดยืนที่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน แต่สำหรับกลุ่มคนที่มีจุดยืนร่วมกันนั้น บางครั้งเราไม่อยากใช้คำว่าจุดยืนเดียวกัน แต่อยากใช้คำว่าจุดยืนใกล้เคียงกันมากกว่า เพราะในขั้วเดียวกันก็ยังมีความคิดที่แตกต่าง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะนี่ไม่ใช่การกรี๊ดดารา หรือท่านผู้นำว่าไงก็ว่าตามกัน เพราะถ้าใครคิดเช่นนั้นก็คงใกล้เคียงกับคำว่าถูกล้างสมอง หรือเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ความขัดแย้งนั้นก็อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยถ้าเทียบกับเป้าหมายร่วมกัน ทีมถ่ายทำสารคดีนำภาพยนตร์ของเขามาฉาย เมื่อหนังจบลงสหายท่านหนึ่งกล่าวว่าการถ่ายทำเป็นแบบคลาสสิก ซึ่งขัดแย้งกับหลักการไม่เอาจารีตนิยม New ideas require a new language แต่แน่นอนว่าหลายคนคงตั้งคำถามในใจว่า กะอีแค่หนังโฆษณาชวนเชื่อเนี่ยะอะนะ จะอะไรกันนักกันหนา บางครั้งเรื่องหยุมหยิมก็อาจทำให้พวกเขาสับสนได้ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นภาพยนตร์จากมุมมองของวัยรุ่น พวกเขายังเป็นแค่วัยรุ่น แม้ กิลล์กับคริสทีนร่วมทั้งอเลนและเพื่อนคนอื่นๆของเขาจะอยู่ในกลุ่มนักศึกษาหัวเอียงซ้ายที่ต่อต้านรัฐ แต่พวกเขาก็มีความเข้มข้น แก่ บาง ไม่เท่ากัน คริสทีนนั้นค่อนข้างหัวรุนแรงกว่ากิลล์ เธอไม่สนใจการเรียนและเดินทางไปกับกลุ่มต่อต้าน ส่วนกิลล์นั้นไม่อาจทิ้งการเรียนศิลปะที่เขารักไปได้
       ในทางการเมืองกิลล์อาจแปลกใจว่าทำไมคริสทีนถึงยังทนต่อสู้ทั้งที่มันยากลำบากทำไมเธอยอมๆมันบ้างไม่ได้ ในขณะที่เขาบ่นไม่พอใจที่งานศิลปของตนถูกแก้ไขก่อนตีพิมพ์ซึ่งคริสทีนกลับมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยทำไมถึงยอมไม่ได้ล่ะ.. ราวกับว่าบางคนทนมองเห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคนอื่นได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา คริสทีนเองถึงแม้จะร่วมงานอย่างเต็มตัว แต่เธอก็เริ่มตระหนักว่าตนเองทำงานเหนื่อยในขณะที่แกนนำดูเหมือนจะสบายๆ
        ในขณะที่คริสทีน ร่วมทีมถ่ายทำสารคดีเสี่ยงตาย ส่วนกิลล์นั้นกลับไปเป็นเด็กในกองถ่ายละครนิยายวิทยาศาสตร์ย้อนยุคในอังกฤษ ที่หาความสมจริงไม่ได้ เผลอมีนาซีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
          ลอล่า เครตัน นักแสดงนำหญิงในบทคริสทีนโชว์พลังความเป็นดาราอย่างเด่นชัดจนได้รับรางวัล César Awards 2013 ในสาขา César Revelations ส่วน โอลิเวียร์ แอซสาแยส ผู้กำกับชื่อดังชาวฝรั่งเศสก็สามารถคว้ารางวัลจากเทศกาลหนังเวนิซมาครอง ในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
         แม้ Something in the Air จะเป็นหนังการเมืองแต่ก็เป็นหนังวัยรุ่นค้นหาตัวตนในเวลาเดียวกัน ตัวละครที่มีสเน่ห์มากคนหนึ่งคือ ลอล่า แฟนเก่าของกิลล์ เธอเป็นคนรักอิสระเสรีมีความเป็นศิลปินสูง แม้เธอจะดูเป็นพวกฮิปปี้ขี้ยา มั่วเซ็กส์ กิลล์มักจะนำงานศิลปะของเขาไปให้เธอดูและวิจารณ์ว่าชอบชิ้นไหน และประโยคหนึ่งที่ ลอล่าพูดกับกิลล์ว่า "คุณโชคดีที่รู้ว่าคุณต้องการเป็นอะไร" เพราะจริงๆแล้วไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนั้น บางคนแก่แล้วก็ยังไม่รู้ตัวเองทำอะไรลงไป  








0 ความคิดเห็น:

เกมเร้นรัก : The Last Match

     

tlareleasing.com กล่าวว่ามันเป็นหนังชายรักชายที่เซ็กซี่และโรแมนติกที่สุดของปี 2013    
     The Last Match หรือ La Partida (ภาษาสเปนแปลว่า"เกม") เป็นเรื่องราวความรักและความรุนแรงในยานสลัมของฮาวาน่า โดยมีศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ เรเนีย และ โยสวานี่ สองวัยรุ่นเพื่อนซี้ที่ได้รู้จักกัน จากการเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆวัยรุ่นในละแวกนั้น เรเนียเป็นคนที่นี่ ส่วนโยสวานี่เป็นคนมาจากต่างถิ่น ทั้งคู่สนิทกันมากๆ และดูเหมือนอาจจะสนิทกันมากจนเกิดความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง แต่ขอโทษนะครับอย่าเพิ่งด่วนคิดไปว่านี่จะเป็นหนังรักหวานแหวว หน่อมแน่มแบบหนังเกย์วัยรุ่นนะครับ เพราะแท้ที่จริงแล้วมันเป็นหนังสะท้อนสังคม ที่ตีแผ่แนวคิดของวัยรุ่นที่ขายบริการทางเพศให้กับนักท่องเที่ยวเกย์ในคิวบา ตลอดจนทัศนคติของผู้คนที่มีต่อความเป็นเกย์อันหลากหลายทั้งบวกและลบ อีกทั้งยังกระเทาะแก่นความเป็นมนุษย์ ที่มีทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง แน่นอนว่าในโลกของความเป็นจริงไม่มีใครดีที่สุดและไม่มีใครเลวที่สุด ปัญหาเศรษฐกิจ วัตถุนิยม พวกเขาอยากได้ของดีราคาถูก อยากได้ของแบนด์เนม แต่ไม่มีตังค์ซื้อ ธุรกิจเงินผ่อนและของเถื่อนจึงเกิดขึ้น ดูแล้วไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่นัก ที่เห็นเจ้าหนี้เงินนอกระบบตามทวงหนี้ หนี้สินอีรุงตุงนัง เข้าโรงจำนำเป็นว่าเล่น รวมทั้งการพนันระดับชาวบ้าน และสถาบันครอบครัวที่เปราะบางเพราะความยากจน ได้ถูกถ่ายทอดอยู่ในภาพยนตร์ 
      แต่สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างโดดเด่นก็คือ ทำให้เห็นภาพและบรรยากาศแถวท่าเรือของฮาวาน่าในยามราตรี ที่ผู้คนเดินกวักไกว คึกคัก ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เลือกซื้อสินค้ากันยังกับมาจ่ายตลาดนัด เพียงแต่สินค้าที่ว่านั้นคือ บริการทางเพศของชาวเกย์นั่นเอง เด็กหนุ่มแต่งตัวหล่อๆออกมายืนกันริมถนน เพื่อให้เลือกซื้อกันอย่างเปิดเผย และเป็นที่รู้กันของนักท่องเที่ยวชาวเกย์ เรียกว่าเป็นยานเงินสะพัด ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่นี่ (คงคล้ายๆพัทยาบ้านเรามั้งครับ?) 
     กลับไปดูความสัมพันธ์ของ เรเนียกับโยสวานี่ อีกครั้ง ดูเผินๆทั้งคู่เหมือนคู่เพื่อนซี้ทั่วๆไป ทั้งคุ่เล่นฟุตบอลดูเป็นแมน และที่สำคัญทั้งคู่ต่างก็มีแฟนสาวของตนเอง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อาจเป็นเพียงแค่เรื่องสนุกๆชั่วครั้งชั่วคราว หรืออารมณ์ชั่ววูบเช่นนั้นหรือ? เรเนียนั้นนอกจากจะมีภรรยาแล้ว เขายังมีลูกเล็กๆอีกด้วย ในขณะที่ โยสวานี่กำลังถูกจับแต่งง่านกับลูกสาวเจ้าพ่อขายของเงินผ่อน 
     เฮม่าคือลูกสาวเจ้าพ่อ เป็นตัวละครที่เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิงหัวสมัยใหม่มีความคิดก้าวหน้าและมองความเป็นเกย์ในด้านบวก เธอทำให้ผมนึกถึงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยบอกผมว่า
"ผู้หญิงหลายคนชอบมีเพื่อนเป็นเกย์ เธอว่าถ้าผู้หญิงโผเข้าไปกอดเพื่อนผู้ชายอาจถูกมองว่าไม่งาม แต่ถ้ากอดเพื่อนเกย์ไม่มีใครว่าอะไร ได้ใกล้ชิดเพศตรงข้าม แถมเกย์สมัยนี้หน้าหล่อหุ่นเป๊ะ ดูดีกว่าผุ้ชายแท้ๆซะอีก" ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงบางคนอาจชอบมีแฟนเป็นเกย์ด้วยซ้ำ เพราะคุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนเป็นเพื่อน แน่นอนว่า"ได้แฟนเป็นเพื่อน ดีกว่าได้เพื่อนเป็นแฟน" เพราะความเป็นเพื่อนคือสิ่งที่สำคัญ แฟนเลิกกันไปแล้วก็กลายเป็นคนอื่น แต่เพื่อนยังไงก็ยังเป็นเพื่อนวันยังค่ำ และตัวละครอย่างเฮม่านั้นทำให้รู้ว่า ผู้หญิงที่มีแฟนเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจอีกต่อไป     
    ส่วนผู้หญิงอีกคน ลุดมิลา ภรรยาของเรเนีย เธอก็เหมือนผู้หญิงที่เราพบเห็นทั่วๆไป ที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง เป็นคนกลางระหว่างสามีกับพ่อแม่ และสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก็คือลูก
    นอกจากนั้นยังมีตัวละครสำคัญอีก อย่างเช่น ซิลวาโน่พ่อค้าสุดเขี้ยวแต่รักลูกดั่งดวงใจ, เทเรซ่าแม่ยายตัวแสบ และฮวนนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก ที่อาจทำให้มิตรภาพของสองเพื่อนซี้เริ่มสั่นคลอน   
     โดยส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่ามันเป็นหนังโรแมนติกเหมือนที่นักวิจารณ์คนอื่นบอก (ซึ่งผมอาจคิดผิดก็ได้เพราะเพียงแค่มองต่างมุม) แต่เพราะการที่มันไม่โรแมนติกอย่างที่คิดนั่นแหละทำให้หนังดูมีมิติในความคิดผม 
     ผมมองว่า หนังได้สร้างประเด็นของความเป็นเกย์ที่กว้างขึ้น นี่ไม่ใช่หนังประเภทค้นหาตัวตน ไม่ใช่วัยรุ่นเกย์ชนชั้นกลางเรียนไฮสคูล ที่หมกมุ่นอยู่กับการค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง 
เรเนีย ยากจนเกินกว่าจะมัวมาค้นหาตัวเอง เขาอาจเป็นเหมือนตัวแทนของเด็กขายบริการเกย์ในยุคสมัยนี้ ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสถานการณ์ และไม่มีรสนิยมทางเพศแน่ชัดนักอาจเรียกว่าเป็นไบเซ็กช่วล ได้ทั้งหญิงและชาย รุกและรับ แม้เขาจะชอบพูดว่าผมไม่ใช่ตุ๊ด และอยากเป็นรุกมากกว่ารับ แต่พอถึงเวลากับลูกค้าก็ไม่สามารถเลือกอะไรได้มากนัก เขาอาจดูมีเล่ห์เหลี่ยม และดิ้นรนเพื่ออยู่รอดไปวันๆ แม้จะมีความฝันตามประสาวัยรุ่นอยากเป็นดารานักฟุตบอล มีเงิน มีชื่อเสียง เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป 
     ซึ่งต่างจากโยสวานี่ ที่ดูไม่มีความฝันอะไร เขาเหมือนเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองตามลำพัง ไม่มีภาระอะไร โยสวานี่ เป็นเกย์อีกรูปแบบ เขามีรสนิยมทางเพศที่ชัดเจน และไม่สนใจผู้หญิงเลย แม้ว่าจะมีเซ็กส์กับแฟนสาวของตน ก็เป็นแบบขอไปทีแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนดีเด่อะไรและผลประโยชน์ต่างตอบแทน แม้ว่าเราจะเห็นเขามีเช็กส์กับเกย์ หรือให้กระเทยใช้ปากให้ ก็ดูทำไปแบบฝืนใจ แน่ชัดว่าเรื่องเซ็กส์สำหรับโยสวานี่นั้นไม่ใช่กับใครก็ได้ เขาเป็นคนที่อ่อนไหว และบางครั้งทำในสิ่งที่คนไม่ใช่เกย์อาจไม่เข้าใจ 
      หนังเรื่องนี้มีหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกับสังคมบ้านเรามากๆ เวลาผมได้ยินใครพูดประมาณว่า "เด็กต่างจังหวัดเข้ามาขายตัวในเมืองกรุงเป็นเพราะ วัตถุนิยมและความฟุ้งเฟ้อ" ผมจะรู้สึกทันทีว่าคนพูดไม่รู้จริง อาจด้วยข้อมูลเก่าๆ หรือคิดเองจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ล้าสมัย อีกทั้งยังรับสื่อที่นำเสนอด้านเดียวเพียงเพื่อสร้างภาพด้านคุณธรรม โดยที่ไม่รู้เลยว่าวัยรุ่นอย่างโยสวานี่ในเมืองไทยมีเยอะมาก และพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน โยสวานี่ต่างจากเรเนีย เขาไม่ได้สนใจเงินทองมากนัก แล้วเขาทำเพื่ออะไร??? คำตอบอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้นั่นเองครับ
       ผู้กำกับ อันโตนิโอ เฮนส์ เคยทำหนังเกย์วัยรุ่นเถื่อนๆเรื่องเยี่ยมมาก่อนหน้านี้ นั้นคือ Clandestinos (2007)





0 ความคิดเห็น: