ก่อนอื่นต้องยอมรับอย่างหนึ่งครับว่า หนังพล็อตเรื่องบีบคั้นหัวใจแบบนี้ อาจไม่ชื่นมื่นนักสำหรับช่วงเวลาที่อยากปล่อยวางของปุถุชนคนหนึ่ง เพราะสภาพสังคมในปัจจุบันนั้นก็ตึงเครียดพออยู่แล้ว แม้จะมีความอยากรู้อยู่ลึกๆว่าทำไมนะ? หนังเดนมาร์คเรื่องนี้ถึงได้รับการกล่าวขวัญในแง่บวกจากนักวิจารณ์ทุกสำนักเป็นเวลาข้ามปีทีเดียว เพราะหนังออกฉายในปี2012 เข้าร่วมเทศกาลหนัง Toronto International Film Festival 2012 และที่ทำให้ถูกพูดถึงอย่างมากก็คือในเทศกาลหนังเมืองคานส์ Cannes Film Festival 2012 ปีเดียวกับ Amour ของMichael Haneke เพราะที่นี่เองทำให้ Mads Mikkelsen คว้ารางวัลนักแสดงฝ่ายชายยอดเยี่ยมไปครอง แต่ในปีนั้นThe Huntไม่ได้ถูกส่งเข้าชิงออสการ์ แต่ทางเดนมาร์กกลับเพึ่งเลือกหนังเรื่องนี้เป็นตัวแทนส่งเข้าชิงออสการ์ในปี 2014นี้ และอย่าเพิ่งคิดนะครับว่าหนังจะกระแสตก เพราะหนังได้เข้าชิงและได้รับรางวัลจากหลายๆสถาบันภาพยนตร์ ตลอดปี 2012, 2013 จนถึง 2014 จนล่าสุดในขณะที่เขียนบทความนี้ The Hunt ก็ได้รับการเสนอชื่อเป็น1ใน5หนังเข้าชิงรางวัลหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมจากทั้ง ลูกโลกทองคำ 2014 และ Independent Spirit Awards 2014 ไปแล้ว (ซึ่งยังรอลุ้นผลอยู่)
The Hunt (หรือ Jagten) เป็นผลงานของผู้กำกับ Thomas Vinterberg ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้นึกถึงวรรณกรรมรางวัลซีไรต์ของไทยเรื่อง คำพิพากษา นวนิยายของ ชาติ กอบจิตติ ที่กล่าวถึงภารโรงคนหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของ "คำพิพากษา" จากสังคม และแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของค่านิยมสังคมที่มีผลกระทบอันรุนแรงต่อปัจเจกบุคลที่ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคม เนื้อเรื่องได้นำเสนอเนื้อหาที่มีความรุนแรง แต่กระนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้และข้อคิดที่น่าสนใจว่า คนดีคือคนแบบไหน แล้วกลุ่มคนที่เรียกว่าคนดีนั้นทำในสิ่งที่สมควรแล้วจริงหรือ สำหรับ The Hunt นั้นก็เช่นกัน เป็นเรื่องราวในช่วงวันก่อนคริสต์มาสเล่าถึง ลูคัส หนุ่มใหญ่ใจดีคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เขาเลิกลากับภรรยาไปแล้วแต่รอวันที่จะได้สิทธิดูแล มาคัส ลูกชายวัยรุ่นของเขา ลูคัส เป็นคนใจดีและเป็นที่รักของเด็กๆ แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับถูกใส่ร้ายว่าทำอนาจารเด็กอนุบาลคนหนึ่ง เป็นเหตุให้ถูกคนทั้งเมืองรังเกียจ และนำมาซึ่งความรุนแรง
สำหรับคนประเภทที่คิดเองเออเอง คนกลุ่มนี้มีอยู่จริงในสังคมดัดจริตในปัจจุบัน ที่คิดว่าความคิดตนเองถูกต้องกว่าของคนอื่นเสมอ และเมื่อคิดว่าใครคนหนึ่งทำผิด หรือเลว พวกเขาก็พร้อมที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับคนๆนั้น แม้วิธีนั้นจะละเมิดสิทธิคนอื่น หรือทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนก็ตาม เพราะคิดว่าการได้กำจัดคนเลวเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่สนใจว่าคนเลวที่ว่านั้นมีสิทธิจะโต้แย้งหรือเปล่า สิทธิ์ที่จะซื้อข้าวกิน เข้าโบสถ์ สิทธิที่จะได้รับการรักษา สิทธิความเป็นมนุษย์หายไปหรือเปล่า
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกแปลกประหลาดใจที่สุดก็คือ ในโลกนี้มีภาพยนตร์หรือวรรณกรรมมากมายหลายเรื่องที่พูดถึงเรื่องราวความไม่ยุติธรรมหรืออคติในสังคมแบบนี้ แต่ทำไมคนในสังคมทุกวันนี้ก็ยังปล่อยให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าดูหนังดูละครแล้วไม่เคยย้อนมองดูสังคมของตนเองเลย แถมบางคนก็เป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงอีกด้วยโดยเฉพาะคนในสังคมโซเชียลที่เชื่อและแชร์ความคิดด้านเดียว ไอ้คำว่าฟังหูไว้หูแทบไม่มีในสมอง เมื่อปักใจเชื่อในสิ่งไหนแล้ว แทบจะไม่มองเหตุผลของอีกฟากเลย บางคนเป็นถึงระดับครูบาอาจารย์ เป็นคณบดีด้วยซ้ำ รองคณบดีบางคนถึงกับบอกว่าจะกระทืบนักศึกษาที่คิดแตกต่างจากคนอื่นก็ยังมีเลย แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือคนในสังคมบางส่วนเห็นดีเห็นงามไปกับรองคณะบดีท่านนั้นซะอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาเป็นอะไรกันไปหมด จิตใจอำมหิตไม่ต่างจากชาวบ้านใน "The Hunt" หรือใน "คำพิพากษา"เลย ที่พร้อมจะทำร้ายผู้อื่น ฆ่าผู้อื่นที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นคนไม่ดี
แต่แน่นอนว่าโลกนี้ไม่ได้มีคนที่คิดเหมือนกันซะทั้งหมด ส่วนคนที่เห็นต่างบางคนก็ไม่อยากออกความเห็นอะไร เพราะเขาอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องของตน หรือกลัวถูกคนพวกนี้เล่งเป้ามาที่ตน ทางที่ดีอย่าไปยุ่งด้วยดีกว่า แต่คนบางคนก็พร้อมจะลุยกับพวกดัดจริตชนกลุ่มนี้เพื่อปกป้องคนที่ถูกรังแก เหมือนมาคัส ลูกชายของลูคัส ที่พร้อมจะลุยเพื่อปกป้องพ่อของเขา และยังพอมีคนที่เป็นกลางๆ ไม่งั้นหนังคงหดหู่น่าดูอีกทั้งตัวลูคัสเองก็เข้มแข็งกว่าไอ้ฟักเยอะ และมีวิธีการตอบโต้ในแบบของเขา
สิ่งที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้ก็คือ ฉากหนึ่งในหนังที่ทำให้ผมน้ำตาไหลไม่หยุดเลย และเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงถูกกล่าวขวัญได้นานข้ามปีขนาดนี้ แต่สิ่งที่สุดยอดที่สุดในThe Hunt นั่นก็คือฉากตอนจบของหนังที่สรุปทุกอย่างได้อย่างแยบยล จนผมคิดว่าถ้าหนังไม่ได้จบแบบนี้ก็คงไม่มีใครพูดถึงมันมากขนาดนี้แน่นอน
เมื่อเราหันกลับมามองสังคมของโลกปัจจุบันที่เราพบเห็น เมื่อใดก็ตามที่ดัดจริตชนพวกนี้ถูกตำหนิ พวกเขามักจะหาคำพูดสุดเนี้ยบมารองรับการกระทำแย่ๆเพื่อให้ตัวเองดูดีได้เสมอ เช่น "ฉันทำเพื่อพ่อ"บ้างล่ะ "ทำเพื่อพระเจ้า"บ้างล่ะ หรือแม้แต่ทำเพื่อประเทศชาติ...
1 ความคิดเห็น: